หนึ่งในคำที่เรามักพบเจอเมื่อต้องเลือก Web Hosting ก็คือ Bandwidth และ Storage ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าทั้งสองคำนี้หมายถึงอะไร และเกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์อย่างไร บางคนอาจเลือกแพ็กเกจโฮสติ้งโดยดูแค่ราคา โดยไม่พิจารณาว่าปริมาณ Bandwidth และ Storage ที่ได้เพียงพอต่อเว็บไซต์ของตนหรือไม่
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทั้งสองคำนี้อย่างละเอียด พร้อมทั้งอธิบายว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อการใช้งานเว็บไซต์ของคุณในชีวิตจริง
Storage คืออะไร?
Storage หรือที่เรียกกันว่า “พื้นที่จัดเก็บข้อมูล” คือจำนวนพื้นที่ที่ Hosting ให้คุณใช้ในการเก็บไฟล์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ เช่น
- ไฟล์ HTML, CSS, JavaScript
- รูปภาพหรือวิดีโอที่แสดงในหน้าเว็บ
- ฐานข้อมูล (Database)
- ปลั๊กอิน ธีม หรือระบบ CMS เช่น WordPress
- อีเมล (หาก Hosting ให้บริการอีเมลด้วย)
ตัวอย่าง:
หากคุณได้รับ Storage ขนาด 5 GB หมายความว่าคุณสามารถอัปโหลดไฟล์ทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 5 GB หากเว็บไซต์ของคุณมีรูปภาพจำนวนมากหรือวิดีโอความละเอียดสูง ก็ควรเลือก Hosting ที่ให้พื้นที่มากพอ
Bandwidth คืออะไร?
Bandwidth คือปริมาณข้อมูลทั้งหมดที่สามารถรับส่งได้ระหว่างเซิร์ฟเวอร์และผู้ใช้งานภายในระยะเวลาหนึ่ง (โดยปกติมักคิดเป็นรายเดือน) หรือพูดง่ายๆ คือ “ข้อมูลที่ผู้เข้าชมโหลดออกจากเว็บของคุณ”
วิธีคิด Bandwidth:
หากหน้าเว็บของคุณมีขนาด 1 MB และมีผู้เข้าชมเดือนละ 1,000 คน หมายความว่า Bandwidth ที่ใช้คือ 1 MB x 1,000 = 1,000 MB หรือ 1 GB ต่อเดือน
ถ้าคุณมี Bandwidth แค่ 500 MB ต่อเดือน แต่มีคนเข้าเว็บเกินจากนั้น เว็บอาจโหลดช้าลงหรือเข้าไม่ได้ในช่วงที่เกินโควตา

ความสำคัญของ Storage ต่อเว็บไซต์
1. ความสามารถในการรองรับเนื้อหา
เว็บไซต์ที่มีบทความจำนวนมาก รูปภาพเยอะ หรือมีวิดีโอฝังไว้ ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บที่มากขึ้น หาก Hosting ให้พื้นที่น้อย เว็บไซต์คุณอาจไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาใหม่ได้
2. การทำงานของระบบ CMS
หากคุณใช้ระบบจัดการเว็บไซต์อย่าง WordPress จะมีการจัดเก็บธีม ปลั๊กอิน และฐานข้อมูลภายใน Hosting หากพื้นที่ไม่พอ เว็บไซต์อาจทำงานผิดปกติหรือล่มได้
3. การส่งและเก็บอีเมล
ถ้าโฮสติ้งของคุณให้บริการอีเมลด้วย พื้นที่ Storage จะถูกใช้ในการเก็บข้อความอีเมลและไฟล์แนบ หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถรับอีเมลใหม่ได้
ความสำคัญของ Bandwidth ต่อเว็บไซต์
1. รองรับจำนวนผู้เข้าชม
Bandwidth ที่มากพอช่วยให้เว็บไซต์สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้พร้อมกัน โดยไม่กระทบต่อความเร็วในการโหลด
2. ความเร็วและประสบการณ์ผู้ใช้
หากเกิน Bandwidth ที่กำหนด เว็บอาจโหลดช้า หรือบางกรณีผู้ให้บริการอาจหยุดให้บริการชั่วคราว ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ
3. การดาวน์โหลดหรือแชร์ไฟล์
หากเว็บไซต์ของคุณเปิดให้ดาวน์โหลดไฟล์ เช่น PDF, โปรแกรม, วิดีโอ Bandwidth ที่ใช้จะสูงมาก คุณจึงต้องมีปริมาณ Bandwidth ที่เพียงพอ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Bandwidth และ Storage
- คิดว่าไม่ต้องใช้เยอะ
หลายคนเข้าใจว่าเว็บของตนเล็ก ไม่ต้องใช้พื้นที่หรือแบนด์วิธมาก แต่ลืมคิดถึงการเติบโต หรือรูปภาพที่มีความละเอียดสูง - เห็นคำว่า “Unlimited” แล้วไม่คิดต่อ
ผู้ให้บริการบางรายโฆษณาว่าให้พื้นที่หรือแบนด์วิธไม่จำกัด แต่ความจริงอาจมีข้อจำกัดแฝง เช่น Fair Usage Policy ที่ถ้าใช้เกินระบบจะจำกัดความเร็วหรือตัดการเชื่อมต่อ - สับสนระหว่าง Bandwidth กับ Speed
Bandwidth คือปริมาณข้อมูลที่รับส่งได้ แต่ Speed คือความเร็วในการโหลด เป็นคนละเรื่องกัน
วิธีเลือก Hosting ให้เหมาะกับ Bandwidth และ Storage ที่ต้องใช้
- ประเมินจำนวนหน้าเว็บ และปริมาณเนื้อหา เว็บไซต์ที่มี 10 หน้า รูปเยอะ จะใช้พื้นที่มากกว่าเว็บที่มีแค่หน้าหลักและข้อความ
- ดูสถิติผู้เข้าชม หากคาดว่าจะมีผู้เข้าเว็บไซต์วันละหลายร้อยคน ควรเลือก Bandwidth อย่างน้อย 50 GB ขึ้นไป
- เผื่อไว้สำหรับอนาคต ไม่ควรเลือกแพ็กเกจที่ “พอดี” ควรเลือกที่ขยายได้ง่าย หากเว็บเติบโต
- ดูรายละเอียดการจำกัดของผู้ให้บริการ เช่น หากเขียนว่า Unlimited ควรดูว่าแท้จริงมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
ตัวอย่างการเลือก Hosting ตามความต้องการ
เว็บไซต์ส่วนตัวหรือบล็อก
- Storage: 1-5 GB
- Bandwidth: 10-50 GB ต่อเดือน
เว็บไซต์บริษัททั่วไป
- Storage: 5-10 GB
- Bandwidth: 50-100 GB ต่อเดือน
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
- Storage: 10-50 GB ขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้า
- Bandwidth: 100 GB ขึ้นไป
เว็บไซต์มีไฟล์ให้ดาวน์โหลด หรือมีวิดีโอ
- Storage: 50 GB ขึ้นไป
- Bandwidth: ไม่ต่ำกว่า 200 GB หรือใช้ CDN ควบคู่
สรุป
Bandwidth และ Storage คือหัวใจสำคัญของบริการ Web Hosting ที่คุณไม่ควรมองข้าม
- Storage คือพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ
- Bandwidth คือปริมาณข้อมูลที่เว็บไซต์สามารถรับส่งได้ต่อเดือน